THE IMMUNE LAB

หลักการทำงานและประโยชน์ของเบต้ากลูแคน

หลักการทำงานและประโยชน์ของเบต้ากลูแคน

          ทำไมสรรพคุณของ เบต้ากลูแคน ครอบจักรวาลเหมือนยาผีบอกรักษาได้ทุกโรคซึ่งเป็นข้อมูลที่อาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจผิดและคลาดเคลื่อน เบต้ากลูแคน  มิใช่ยา ไม่มีฤทธิ์ทางยาทั้งสิ้น ซึ่งไม่เหมือนกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั่วไปที่มุ่งเน้นเป็นยารักษาโรคหรือให้สารอาหารที่บำรุงร่างกาย หากแต่เบต้ากลูแคนนั้นเป็นเอนไซม์ให้กับเม็ดเลือดขาว หรือ จะพูดอย่างภาษาชาวบ้านก็คือ เบต้ากลูแคนนั้นเป็นอาหารชั้นเลิศของเม็ดเลือดขาว (ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย) และทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  หากระบบภูมิคุ้มกันมีความแข็งแรงอย่างแท้จริง ร่างกายจะสามารถป้องกันผู้รุกรานจากภายนอกเชื้อโรคต่างๆ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา ปรสิต หรือแม้แต่เซลล์ของร่างกายที่ผิดปกติ ดังนั้นคุณประโยชน์ของเบต้ากลูแคนที่จะกล่าวต่อไปในบทนี้เกิดขึ้นได้จากการที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้อง มิใช่เกิดจากยาหรืออาหารเสริมนี้แต่อย่างใด

การทำงานของเบต้ากลูแคน

            หลักการทำงานของเบต้ากลูแคนนั้น คือ จะไปกระตุ้นกลุ่มเซลล์เม็ดเลือดขาว Neutrophil (PMN) Macrophage, NK Cell, B-Cell และ T-Cell ในร่างกายและเม็ดเลือดขาว Macrophageนั้นมีส่วนสำคัญที่สุดในการทำงานของเบต้ากลูแคน (เซลล์ Macrophage นี้เป็นเซลล์สำคัญชนิดหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน โดยทำหน้าที่ดูดกลืนสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกายและทำลายไป  Macrophage ผลิตสารเคมีที่ส่งสัญญาณให้เซลล์ภูมิคุ้มกันอื่น ๆ เคลื่อนที่มายังจุดที่ติดเชื้อที่มีผลกระทบ นอกจากนี้ Macrophage ยังทำหน้าที่ผลิตสารที่ช่วยในการเจริญเติบโตให้กับเซลล์ที่ทำหน้าที่ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหายด้วย)  เนื่องจาก เซลล์ Macrophage นั้นมีตัว receptor หรือ เรียกภาษาชาวบ้านว่าเป็นปากของ Macrophage) ที่มีขนาดพื้นที่ประมาณ 2 ไมครอน (0.002 มิลลิเมตร)

            ที่มีลักษณะพิเศษที่สำหรับจับอนุภาคของเบต้ากลูแคนได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ จึงเรียก receptor นี้ว่า  beta glucan receptorและ เมื่อ Macrophage ได้รับสารเบต้ากลูแคน (หรือจะเรียกว่า กินเข้าไปก็ได้) จะเกิดการกระตุ้นการทำงานของตัว Macrophage เองโดยเซลล์ Macrophage เหล่านั้นจะกลับไปยังต่อมน้ำเหลือง ม้ามและไขกระดูก กระจายทั่วระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เซลล์ Macrophage ทำหน้าที่ในการทำเครื่องหมายให้ T-Cell สามารถจดจำสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาได้ เพื่อปลดปล่อย Cytokine (โปรตีนที่เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันสังเคราะห์ขึ้น และหลั่งออกมา เพื่อที่จะทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวอื่นมายังบริเวณที่เกิดโรค) และก่อให้เกิดการกระตุ้นภูมิคุ้มกันอย่างเป็นระบบ และก่อให้เกิดมีประสิทธิภาพในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมต่างๆ และในท้ายที่สุดเบต้ากลูแคนที่ทานเข้าไปและยังค้างอยู่ในร่างกายจะสลายตัวโดยกระบวนการออกซิเดชั่น(Oxidative Degradation) และจะถูกกำจัดออกจากร่างกายจนหมดสิ้นภายใน 15-20 วัน ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวการตกค้างในร่างกายสำหรับผู้บริโภคที่จำเป็นต้องรับประทานในระยะเวลาที่นานหรือต้องรับประทานในจำนวนมาก

             สิ่งที่มหัศจรรย์อย่างยิ่งในการค้นพบนี้คือ เบต้ากลูแคนนั้นเป็นสารสกัดที่หาได้จากธรรมชาติ (พืช ยีสต์ เชื้อรา) โดยที่ในร่างกายมนุษย์ไม่สามารถผลิตเองได้ แต่กลับมีตัวจับในเซลล์ของมนุษย์ที่สามารถจับเบต้ากลูแคนไปใช้ประโยชน์ได้ และมีข้อพึงระวังว่า ถึงแม้ว่ามนุษย์จะกินยีสต์ โดยตรงจากเบียร์หรือขนมปัง ก็ไม่สามารถได้รับสารเบต้ากลูแคนนี้ได้ เนื่องจากร่างกายเราไม่มีเอนไซม์ที่จะย่อยผนังเซลล์ของยีสต์เหล่านี้ให้ได้สารเบต้ากลูแคนออกมา ดังนั้นเราจะได้รับสารเบต้ากลูแคนนี้ได้จากการที่ทานผลิตภัณฑ์ที่สกัดสารเบต้ากลูแคนนี้ออกมาด้วยกระบวนการที่ถูกต้องและได้มาตราฐานแต่เพียงอย่างเดียว

การเสริมภูมิคุ้มกันจำเป็นไหม?

            สิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดในการดูแลรักษาสุขภาพมนุษย์คือร่างกายมนุษย์เอง กลไกการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์เรานั้นถือว่าดีที่สุดแล้ว แต่จะมีปัจจัยต่างๆที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเรานั้นลดลง ปัจจัยที่สำคัญคือ อายุ  มีงานวิจัยสรุปมาแล้วว่า ระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่ออายุประมาณ 20 ปี และจะลดลงไปเรื่อยๆ โดยเมื่อถึงอายุ 70 ปีระบบภูมิคุ้มกันจะลดลงเหลือเพียงแค่ 10%

            นอกจากอายุแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราลดลงนั่นคือ มลภาวะแวดล้อม ความเครียดในการใช้ชีวิต อาหารที่เรารับประทาน รวมทั้ง ยารักษาโรคที่เราใช้  ตัวอย่างที่พบเห็นบ่อยๆคือ มะเร็ง กล่าวคือ ในร่างกายของมนุษย์นั้นมีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นทุกวัน ประมาณ 5,000-6,000 เซลล์ต่อวัน แต่ระบบภูมิคุ้มกันเราจะคอยตรวจสอบและกำจัดเซลล์มะเร็งให้หมด แต่เมื่อระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ร่างกายจะไม่สามารถกำจัดเซลล์มะเร็งได้หมด เราจึงเป็นโรคมะเร็ง ดังนั้นสิ่งสำคัญที่เราควรดูแลคือ การดูแลรักษาและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันเราให้แข็งแรงและพร้อมอยู่เสมอ 

ทำไมต้องใช้เบต้ากลูแคนเสริมระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย?

              มีการศึกษาวิจัยผลิตภัณฑ์ที่ใช้เสริมระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์จากว่านหางจระเข้ ผลิตภัณฑ์เห็ดชนิดต่างๆ สมุนไพรจีนชนิดต่างๆ หรือแม้กระทั่ง รกแกะ โดยมีงานวิจัยของ ดร.เวททิคา) จากมหาวิทยาลัยหลุยส์วิลล์ ประเทศอเมริกา สรุปมาอย่างชัดเจนว่า เบต้ากลูแคนนั้นเป็นอาหารเสริมที่ใช้เสริมระบบภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยค้นพบมา

              มีการศึกษาวิจัยผลิตภัณฑ์ที่ใช้เสริมระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์จากว่านหางจระเข้ ผลิตภัณฑ์เห็ดชนิดต่างๆ สมุนไพรจีนชนิดต่างๆ หรือแม้กระทั่ง รกแกะ โดยมีงานวิจัยของ ดร.เวททิคา) จากมหาวิทยาลัยหลุยส์วิลล์ ประเทศอเมริกา สรุปมาอย่างชัดเจนว่า เบต้ากลูแคนนั้นเป็นอาหารเสริมที่ใช้เสริมระบบภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยค้นพบมา

รูปแสดงการเปรียบเทียบการกลืนกินสิ่งแปลกปลอมของเม็ดเลือดขาวจากหนูทดลองที่รับสารอาหารแต่ละชนิด

                โดยการทดสอบของ นั้นศึกษาค่าการเสริมระบบภูมิคุ้มกันของสารแต่ละชนิดโดยดูจากค่าการกลืนกินสิ่งแปลกปลอมต่างๆของเม็ดเลือดขาว และจากข้อมูลของ นี้เป็นการทดสอบวิจัยกับหนูทดลอง โดยให้สารเสริมภูมิคุ้มกันแต่ละชนิดด้วยปริมาณ 4 มิลลิกรัม ต่อ น้ำหนักตัว จากรูปเส้นปะทึบในรูปคือค่าการกินสิ่งแปลกปลอมของเม็ดเลือดขาวตามปกติที่ไม่ได้ให้สารเสริมภูมิคุ้มกัน ดังนั้นจากรูปจะเห็นได้ว่า เบต้ากลูแคนที่สกัดจากยีสต์ขนมปังนั้นเป็นสารที่ให้ประสิทธิภาพในการเสริมภูมิคุ้มกันสูงสุด และสารอาหารหลายชนิดแสดงให้เห็นว่าไม่ได้ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันเลยหรืออาจช่วยได้เล็กน้อยโดยไม่มีนัยสำคัญเลย

              หมายเหตุ Arabinogalactan คือ สารประกอบคาร์โบไฮเดรตที่พบในพืชและเชื้อราหลายชนิด  คือ สารสกัดจากไมซีเลียมของเห็ด   Astaxanthin (แอสตาแซนธิน) คือ สารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่เชื่อว่าจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันได้ Astragalus เป็นสมุนไพรจีนที่มีชื่อว่า อึ่งคี้  และ Wolfberry คือ เก๋ากี๋เป็นสมุนไพรที่นิยมใช้กันในหมู่คนจีน

การทำงานของเบต้ากลูแคนร่วมกับวิตามินซี

             จากผลการศึกษาและวิจัยของ สถาบันวิจัยนานาชาติเพื่อการป้องกันมะเร็ง (The International Institute of Anticancer Research) พบว่า การทำงานของเบต้ากลูแคนจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับวิตามินซี ซึ่งในผลการศึกษาวิจัยได้ให้เหตุผลว่า เซลล์เม็ดเลือดขาว นั้นภายในเซลล์จะมีปริมาณวิตามินซีสูงกว่าภายนอกเซลล์ถึง 40 เท่า และเมื่อมีการกลืนกินสิ่งแปลกปลอมเข้าไปตามกระบวนการปริมาณวิตามินซีที่อยู่ในเซลล์จะลดลงอย่างมากจนมีผลต่อการเคลื่อนไหว และกระทบต่อการทำงานของเซลล์ที่ต้องเคลื่อนไหวลาดตระเวณหาสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายมากลืนกินด้วยกระบวนการ ดังนั้นการเสริมวิตามินซีเข้าไปจะช่วยให้ปริมาณวิตามินซีในเซลล์ นั้นสูงขึ้นเพื่อให้ตัวเซลล์กลับมาทำงานเป็นปกติ

ทำไมต้องรับประทานเบต้ากลูแคนตอนท้องว่าง?

               การกลืนกินเบต้ากลูแคนนั้นต่างกับสารอาหารอื่น กลูแคนประเภทนี้ทนทานต่อกรด ดังนั้นจึงไม่เปลี่ยนสภาพเมื่อผ่านกระเพาะอาหาร และจะถูกจับนำไปใช้งานในส่วนของลำไส้เล็ก

                ลำไส้เล็กเป็นส่วนของลำไส้ที่อาหารถูกย่อยหมดแล้ว ลำไส้เล็กของผู้ใหญ่ยาวประมาณ 20 ฟุต หรือ 6 เมตร เชื่อมต่อระหว่างกระเพาะอาหารกับลำไส้ใหญ่ ประกอบด้วย สำไส้เล็กส่วนต้น (Duodenum) ลำไส้เล็กส่วนกลาง (Jejunum) ลำไส้เล็กส่วนปลายสุด (Ileum)  ในส่วนของการดูดจับเบต้ากลูแคนนั้นจะเริ่มมีการดูดจับกับเม็ดเลือดขาวที่บริเวณลำไส้เล็กส่วนปลายสุด โดยที่ส่วนนี้ของลำไส้เล็กจะมีเซลล์พิเศษเรียกว่า M cells (M=microfold) ทำหน้าที่ดูดจับสิ่งแปลกปลอม โดยบริเวณนี้จะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ รวมตัวกันอยู่เป็นจำนวนมากได้แก่ Cells, B-Cells, Macrophage และ Dendritic Cell

                  ดังนั้นการแนะนำให้บริโภคสารที่สนับสนุนภูมิคุ้มกันเช่น เบต้ากลูแคน หรือ (ผลิตภัณฑ์จากว่าหางจระเข้) ในขณะท้องว่างนั้น เพื่อให้ Macrophage และเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดอื่นๆ ใน M cell ที่ส่วนลำไส้เล็กส่วนปลายสุด เกิดประสิทธิภาพในการจำแนก ดูดจับ และลำเลียงอนุภาคต่าง ๆ ของผลิตภัณฑ์ไปใช้งานได้มากที่สุด กล่าวอย่างง่ายๆคือ เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่จุดดูดจับน้อยที่สุด ไม่ใช่เกรงว่าเบต้ากลูแคนจะมีปฏิกิริยากับอาหารหรืออนุภาคที่ไม่ละลายน้ำ

error: IMMUNE LAB